ขับรถประมาทจนทำให้มีคนตาย ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาทั้งๆ ที่ไม่ผิด ( ตอนที่ 3 )

ขับรถประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต คำที่ตำรวจชอบใช้กับรถเก๋ง ต้องเป็นเช่นนี้ทุกครั้งหรือ ?
( ตอนที่ 3 นี่หรือคือความยุติธรรม )

“เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเริ่มจากดูว่าตัวรถเราเสียหายอย่างใดบ้าง”

ทั้งสองจึงเดินไปดูตัวรถและรับรู้ว่า ส่วนที่เสียหายก็คือ กระจกบาน ข้างคนขับ แตกเป็นรูโหว่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร, ประตูหน้าขวาและหลังขวาเป็นรอยบุบจากการถูกกระแทก และเมื่อเอามือโยกกระจกมองข้าง-ด้านขวาจึงรู้ว่ายังอยู่ในสภาพปกติ

พี่กฤตดีดนิ้ว พร้อมกับบอกว่า นั่นแหละครับจุดแข็งที่เราพอมี พร้อมกับชี้แนะว่า ยังไงก็ต้องพยายามหาทางออกสำหรับวันนี้ให้ได้ก่อน

ทั้งสองคนจึงตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง

กฤตก็เริ่มจากถามร้อยเวรว่า “ผู้กองครับ ญาติของผู้เสียชีวิต ได้มาติดต่อแล้วหรือยังครับ

“ ร้อยเวรตอบว่า “ยังไม่มีใครมาติดต่อ แต่ถามจากคนแถวนั้นคิดว่าน่าจะเป็นคนบ้า ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และก็ชอบแก้ผ้ามาเดินกลางถนน” แล้วร้อยเวรก็ วก กลับมาเข้าเรื่อง โดยบอกว่า” เดี๋ยวน้องต้องเซ็นต์ชื่อ และอาจมีการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อส่งฟ้อง”
กฤต พูดทันทีว่า”ผมขอปรึกษาผู้กองอย่างนี้ได้ไหมครับ ผมว่าระยะเวลา 2 วัน น่าจะเร็วเกินไปที่จะสรุปคดี ประกอบกับญาติผู้เสียชีวิตก็ยังไม่มาติดต่อ นอกจากนั้น ถ้าจะบอกว่าน้องเขาประมาทก็คงไม่ถูกนัก เพราะวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้น เป็นใครก็คงไม่สามารถทำดีกว่านั้นได้”

เมื่อหมดประโยคนั้นร้อยเวรถึงกลับเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากฤต แล้วพูดว่า “แต่ 437 ให้สันนิษฐานว่า ผู้ควบคุมยานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องกลเป็นฝ่ายผิด” กฤตตอบ “ใช่ครับ แต่ 437 เป็นเรื่องทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับทางอาญา ก็ต้องว่ากันอีกทีหนึ่งนะครับ”

ร้อยเวรก็ยังคงยืนยันว่าต้องฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าเพราะมีคนรู้เห็นเหตุการณ์เยอะ ทั้งคนในที่เกิดเหตุ รถมูลนิธิ ยังไงก็ต้องมีคนผิด

กฤตแย้งว่า “แล้วจะรู้ได้ยังไงครับว่าคนตาย ตายเพราะน้องเขา อาจตายเพราะรถคันหลังก็ได้ ผมว่ายังไงวันนี้ อย่างเพิ่งให้น้องเขาเซ็นต์อะไรเลยครับ มันเร็วเกินไป เอาเป็นว่าวันนี้คุยเรื่องรถก่อนดีกว่า รบกวนผู้กองเรียกคนมาตรวจสภาพรถดีกว่า ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ผมยินดีจ่ายครับ เห็นน้องเขาบอกว่ารถมีรอยแตกของกระจกมากขึ้น น่าจะมีใครทำอะไรกับรถ เกิดรถหายขึ้นมาจะยุ่งไปกันใหญ่นะครับ”

ร้อยเวรนั่งคิดซักพัก แล้วก็เห็นดีตามที่กฤตบอก โดยแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสภาพรถ พร้อมกับบอกนันท์ว่าจะติดต่อไปอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เรียกคนขับรถคันหลังเข้ามาสอบปากคำ

ในขณะที่นันท์และกฤต ใช้เวลารอคนมาตรวจสภาพรถอยู่นั้นเอง คนขับรถคันหลังก็ออกมาจากห้องสอบสวน นันท์ตรงเข้าไปถามทันทีด้วยความสงสัยว่าเป็นเช่นไร แต่เมื่อฟังคำตอบก็รู้สึกตกใจ แปลกใจ และเสียวไปถึงข้างใน เมื่อคนนั้นตอบว่า “ ไม่มีอะไรครับ ผมก็เล่าเหตุการณ์ให้ผู้กองฟัง แล้วผมก็เซ็นต์ชื่อไป เพราะเขาให้ผมเซ็นต์ชื่อในช่อง พยาน ”

เหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมาจบลงนะตรงจุดนี้ โดยยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ควรจะต้องทำอย่างไร และตำรวจต้องการอะไร … ภาคต่อจากนี้คงจะต้องเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน เมื่อตำรวจติดต่อมา เพื่อให้เข้าพบ ที่สน. อีกครั้งหนึ่ง

ยังไม่รู้เหมือนกันว่า จุดจบของเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร คงได้เล่าสู่กันฟังในตอนต่อไป….