Case-Study-ป่วยหนักแล้วไง-กินยานอนพักผ่อนที่บ้านเดี๋ยวก็หาย-แต่สุดท้ายได้ไปนอนที่โรงพยาบาล-Part-1

Case Study ป่วยหนักแล้วไง กินยานอนพักผ่อนที่บ้านเดี๋ยวก็หาย แต่สุดท้ายได้ไปนอนที่โรงพยาบาล Part 1

จากประโยคข้างต้นผมว่าในช่วงเวลาหรือช่วงชีวิตหนึ่งของใครหลายๆ คน ต้องเคยผ่านความคิดแบบนี้มาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงอายุที่ยังไม่เยอะมาก 20 – 30 ต้นๆ ร่างกายยังสด ยังแข็งแรง นานทีปีหนจะป่วยทีนึง แถมป่วยแล้วกินยาพักผ่อนแปบเดียวก็หายได้ เรื่องประกันชีวิต ประกันสุขภาพ กรณีถ้าไม่ได้จะเอาไปลดหย่อนภาษี แทบมองไม่เห็นความจำเป็นในการทำประกันไว้ซักนิดเลย

แต่ก็นั่นหละฮะ .. คนเราจะมองเห็นความสำคัญของประกันก็ต่อเมื่อ ตัวเรานั้นถึงคราวต้องป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น !

เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยตัวผมเอง ที่อายุปัจจุบัน 28 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท กิจกรรมหลังว่างจากการทำงาน ก็คือการออกกำลังกาย , ฟิตเนส , เตะฟุตบอล , วิ่งตามสวนสาธารณะ คือมั่นใจมากๆ ว่าร่างกายตัวเองค่อนข้างแข็งแรงและสุขภาพดี โดยอิงจากกิจกรรมที่ทำ ซึ่งมันก็ไม่แปลกนะครับที่ตัวผมเองจะคิดแบบนี้ เพราะตัวผมเองจะป่วยหรือไม่สบายแทบจะปีละครั้งเอง แถมป่วยทีก็แปบเดียวหาย เลยใช้ชีวิตมาแบบมั่นใจมากๆ หรือ บางคนอาจจะเรียกว่าประมาทนั่นแหละ อีกทั้งตัวเราเองนั้นทำงานบริษัทก็มีประกันสังคมให้อยู่แล้ว คุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้ ประกันต่างๆ จึงเป็นเรื่องไกลตัวอย่างมาก แถมเบี้ยปีนึงเป็นหมื่นๆ ในความคิดเราก็ไม่รู้จ่ายเบี้ยซื้อประกันไปทำไม สู้เอาเงินที่ต้องจ่ายเบี้ยต่อปีที่เป็นหมื่นนี้ ไปกิน เที่ยว หรือซื้อของที่เสริมกับกิจกรรมของตัวเอง เช่น เสื้อผ้าฟิตเนส , รองเท้าฟุตบอล , รองเท้าวิ่ง จะดีกว่า

แต่ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ตัวผมเองนั้นเริ่มมีอาการหนาวสั่น เหมือนคนจะเป็นไข้ในกลางดึกวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งตัวผมเองตื่นขึ้นมาในวันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่สบาย เป็นไข้เหมือนที่เคยเป็นแบบทุกๆ ครั้ง ตัวผมเองก็ไปทำงานตามปกติอยู่ 2 วัน ซื้อยาแก้ไข้ไปกินตามเวลา เช้า กลางวัน เย็น อาการก็ดีขึ้นเฉพาะช่วงเช้า และ กลางวัน แต่ในตอนเย็น กลับมีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้น เหงื่อไหลตลอดเวลา ซึ่งเราก็เข้าใจว่ามันเป็นอาการมาจากยาแก้ไข้ที่กิน จนวันอังคารที่ 2 มีนาคม 2564 เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวร้อน และมีอาการหนาวสั่นมากๆ กว่าทุกๆ ครั้งที่เคยเป็น จนแม่และแฟนบอกให้ผมนั้นไปโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดเพื่อไปให้คุณหมอนั้นฉีดยาจะได้หายป่วย เพราะเข้าใจว่าที่ตัวเองป่วยแล้วไม่หายนั้นสาเหตุหลักมาจากการที่ตัวเองออกไปทำงาน เจอแดด เจอลม เจอแอร์ เลยทำอาการป่วยนั้นทรุดลงไม่ดีขึ้นเลย แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาลใกล้บ้านแล้วผมเลยเล่าอาการป่วยและขอให้คุณหมอนั้นฉีดยาให้ผมหน่อยเพื่อที่จะได้กลับบ้านแล้วไปทำงานในวันรุ่งขึ้นได้

แต่จากที่คุณหมอนั้นได้ฟังอาการและทำการตรวจแล้ว คุณหมอได้แจ้งว่า ผมนั้นป่วยเพราะติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ป่วยเป็นไข้ปกติอย่างที่คิดไว้ จึงไม่สามารถฉีดยาให้ได้ โดยเชื้อไวรัสที่แจ้งก็ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องทำการแอดมิดที่โรงพยาบาลอย่างต่ำ 1 คืน เพื่อที่จะเจาะเลือดแล้วนำไปตรวจ Lab หาสาเหตุ หลังจากได้ยินคำตอบของคุณหมอแล้ว ผมเลยสอบถามค่าห้อง ค่ารักษาเบื้องต้นแล้วมีราคาที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ผมเกิดอาการกังวลใจขึ้นมาทันที เนื่องจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่ไปนี้ ไม่ใช่โรงพยาบาลในเครือประกันสังคม เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง และที่สำคัญผมเองไม่ได้ทำประกันเอาไว้ ! ซึ่งถ้าผมเลือกแอดมิดตามที่คุณหมอแนะนำ มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแน่นอน และที่สำคัญตัวผมต้องจ่ายเองทั้งหมดเต็มจำนวน !

จากความตั้งใจเดิมคือแค่ไปตรวจ ฉีดยาและรับยากลับมากินที่บ้าน กลายเป็นว่าเราต้องแอดมิดที่โรงพยาบาลโดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องนอนอีกกี่คืน … ณ ตอนนั้นผมคิดถึงประกันมาก คือ ถ้าผมทำติดไว้ อย่างน้อยผมก็แอดมิดที่โรงพยาบาลนั้นได้เลย โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งๆ ที่ตัวผมก็ป่วยจะแย่อยู่แล้ว

หลังจากพิจารณาแล้วว่าที่นี่ค่าห้อง ค่ารักษาราคาค่อนข้างสูง จึงให้คนดูแลขับรถไปที่โรงพยาบาลอื่นทั้ง ๆ ที่ผมนั้นไข้ขึ้นสูง เหงื่อไหลตลอดเวลา และมีอาการปวดหัวเป็นอย่างมาก สุดท้ายผมก็มาแอดมิดอีกโรงพยาบาลนึง ที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลแรกมาก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน แต่ค่าห้อง ค่ารักษาไม่สูงเท่าที่แรกที่ไปมา อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า ทำไมตัวผมไม่เลือกไปแอดมิดที่โรงพยาบาลที่ตัวเองมีชื่ออยู่ในประกันสังคม ความซวยก็คือโรงพยาบาลในประกันสังคมนั้นอยู่ไกลมาก ซึ่งอาการ ณ ตอนนั้นผมไม่ไหวแล้ว ไข้ขึ้นถึง 41 องศา มีอาการหนาวสั่น ปวดหัว และมีเหงื่อออกตลอดเวลา ย้อนกลับไปที่ว่าตัวผมเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวประกันสังคมนี้มาตั้งแต่แรก บริษัทให้ทำก็ทำ บริษัทให้เลือกโรงพยาบาลก็เลือกไปแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะมั่นใจว่าตัวเองคงไม่ป่วยขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลแน่ ๆ  ตัดกลับมาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ผมกำลังจะแอดมิดในคืนวันที่ 2 มีนาคม เวลาประมาณเที่ยงคืน คุณหมอก็ทำการตรวจ Covid-19 ก่อนเพราะเป็นมาตรฐานของโรงพยาบาลในช่วงนี้ และทำการเจาะเลือดเพื่อไปตรวจ Lab ก่อนพาผมขึ้นไปแอดมิดที่ห้องผู้ป่วยพิเศษเพื่อกินยา นอนพักผ่อน ก่อนที่จะฟังผลตรวจจากคุณหมอ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ..