ข้อควรปฎิบัติเมื่อต้องการเคลมกับบริษัทประกันภัย ในกรณีรถน้ำท่วมได้รับเสียหาย

ในกรณีที่จะกล่าวนี้ เป็นกรณีที่ท่านต้องทำประกันประเภท 1 เท่านั้น รถถึงจะได้รับความคุ้มครองจากน้ำท่วม หรือเสียหายจากการที่รถยนต์น้ำเข้าโดยหลักการประกันประเภท 1 จะคุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดจากน้ำท่วมรถอยู่แล้ว แต่สาเหตุของการเกิดความเสียหายก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ คือท่านต้องแสดงให้บริษัทประกันเห็นว่าท่านได้พยายามป้องกันและรักษารถของท่านจากการน้ำเข้ารถยนต์อย่างเต็มที่แล้ว แต่ที่รถถูกน้ำท่วมนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย เช่นกรณีที่รถจอดอยู่เฉยๆ ในบ้านและน้ำท่วมรถ หรือ ขับรถไปโดยไม่มีเจตนา หรือไม่รู้ว่าน้ำท่วม แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะมีรถหลังตามมา หรือน้ำท่วมมาเร็วมากจนน้ำเข้ารถ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ทางประกันก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในบางกรณีเช่นถ้าท่านรู้อยู่แล้วว่าน้ำท่วมแต่ไม่หลีกเลี่ยงเส้นทางและยังขับรถไปยังจุดนั้น โดยไม่สนใจต่อป้ายเตือน ถ้าเป็นเช่นนี้ประกันอาจปฎิเสธความรับผิดชอบ หรือ จ่ายไม่เต็มจำนวนได้ เพราะถือว่าท่านมีเจตนานำรถไปได้รับความเสียหาย

ดังนั้นสิ่งแรกเลยคือ หลักในการแจ้งเคลม ความเสียหายจากรถที่ถูกน้ำท่วม การที่น้ำท่วมรถ ต้องเป็นเหตุสุดวิสัยมิใช่เกิดจากเจตนา ดังนั้นตอนแจ้งเคลมท่านจะแจ้งอย่างไร ก็ต้องคิดให้ดีก่อนแจ้งนะครับว่าจะบอกทางบริษัทประกันภัยว่าอย่างไรดี

ส่วนขั้นตอนในการเคลม เพื่อให้เกิดความชัดเจนแนะนำดังนี้ครับ ( กรณีประกันประเภท 1 เท่านั้นนะครับ )
1. กรณีที่น้ำท่วมรถแต่ยังสามารถยกหรือลาก ออกมาได้ เพราะน้ำยังไม่เข้ารถ ให้รีบแจ้งทางบริษัทประกันให้หารถมายกหรือลากออกไป ถ้าเกรงว่าไม่ทันการ กลัวว่าน้ำจะเข้ารถเสียก่อน ให้รีบแจ้งบริษัทประกันภัย เพื่อขอเลขที่เคลมไว้ก่อน แล้วติดต่อรถมายกเองเลย โดยสำรองจ่ายค่ารถยกไปก่อน ( แต่กรณีอาจเสี่ยงที่จะไม่ได้ค่ารถยกเต็มจำนวน )

2. กรณีถ้ารถของเราโดนน้ำท่วมแล้ว และไม่สามารถยกหรือลากออกมาได้เนื่องจากระดับน้ำสูง สิ่งที่ท่านต้องทำให้ประกันเห็นคือลดความเสียหายจากน้ำท่วมรถให้มากที่สุด เช่นถอดแบตเตอรรี่ออก ถอดกล่องสมองกลออก หรือทำทุกอย่างที่จะป้องกันได้ หลังจากนั้นเมื่อรถโดนน้ำเข้าท่วมแล้วให้ถ่ายรูปรถตอนโดนน้ำท่วมไว้ ถ้าเป็นตอนที่ระดับน้ำสูงสุดจะดีมาก เพราะทางประกันจะได้เปรียบเทียบระดับน้ำกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถได้ ถ่ายให้เห็นสิ่งที่อ้างอิงระดับน้ำได้ด้วยก็จะยิ่งดี เช่นเสา หรือ ประตู จะได้ง่ายต่อการคาดการณ์ระดับความลึกของน้ำที่เข้ารถ และให้แจ้งทางบริษัทประกันภัยเพื่อขอเลขที่เคลมไว้ก่อนเลย อย่ารอน้ำลดแล้วค่อยแจ้งอาจมีปัญหาได้

3. กรณีที่น้ำลดแล้ว อย่างแรกเลยห้ามสตาร์ท เครื่องเด็ดขาด ปล่อยให้รถอยู่ในสภาพนั้น แล้วเรียกให้บริษัทประกันภัยนำรถมายก หรือ ลากเข้าอู่ ข้อดีของการเรียกให้บริษัทประกันภัยมายกรถคือ ท่านไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารถยกก่อน และ ท่านก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการได้รับค่ารถยกคืนไม่เต็มจำนวน

4. เมื่อรถไปอยู่ที่อู่แล้ว ท่านควรเข้าไปดูโดยเฉพาะรายการความเสียหายที่ทางอู่จะทำออกมา จะได้เห็นภาพรวมของความเสียหาย ส่วนเรื่องการซ่อม พูดตามตรงคงต้องเป็นเรื่องการเจรจาต่อรองกับบริษัทประกันภัย และคงขึ้นอยู่กับรถของท่านด้วยว่าอายุรถกี่ปี ทำกับบริษัทนี้มาต่อเนื่องยาวนานเพียงใด เพราะในกรณีที่รถมีอายุการใช้งานมาระดับหนึ่งแล้ว ทางบริษัทประกันภัยจะไม่ให้เปลี่ยนอะไหล่ของแท้ มือหนึ่ง เพราะมองว่าอะไหล่เดิมที่เสียหายมีค่าเสื่อมอยู่ ดังนั้นท่านก็ต้องต่อรองเอา ถ้ารถของท่านประกันกับเขามาที่เดียวตลอดและประวัติการเคลมมีน้อยหรือไม่มีเลย บริษัทประกันก็อาจผ่อนปรนหรือให้ท่านออกส่วนต่างบ้าง แต่ในกรณีที่เป็นของเหลวหรือน้ำมันต่างๆ ที่ต้องมีการเปลี่ยนถ่าย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมัยเบรค น้ำมันเกียร์ หรืออื่นๆ ประกันเขาจะจ่ายให้เพียง 50% เท่านั้นครับและเท่าที่เห็นคง ไม่สามารถต่อรองได้

5. ส่วนเรื่องระยะเวลาและฝีมือในการซ่อม ท่านก็ต้องเลือกอู่ที่ท่านไว้ใจได้นะครับ และควรเป็นอู่ในเครือของบริษัทประกันที่ท่านทำด้วย เพราะจะทำให้การติดต่อ และขั้นตอนสะดวกยิ่งขึ้น

ผมให้เพียงข้อมูลกว้างๆ นะครับ เพราะรายละเอียดบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายซึ่งหลังจากนี้คิดว่าท่านๆ ก็คงจะรู้จักบริษัทประกันภัยที่ท่านประกันอยู่ดีขึ้นว่าดีไม่ดีอย่างไร แต่ก็อยากให้มองต่อไปในอนาคตด้วยนะครับว่า หลังเหตุการณ์นี้ท่านควรระมัดระวังในการเลือกบริษัทประกันให้ดีขึ้น เพราะจากนี้ไปบางบริษัทประกันภัยอาจมีความเสี่ยงต่อฐานะการเงินของบริษัท เพราะความเสียหายครั้งนี้มากมายจริงๆ อีกประเด็นที่อาจเจอก็คือค่าเบี้ยประกันภัยในปีหน้านี้น่าจะมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้น เพื่อชดเชยกับความเสียหายที่เสียไปจากน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้