ปัจจัยในการเลือกซื้อประกันสุขภาพเด็กเล็ก

ประกันสุขภาพเด็กเล็ก

หลังจากที่ผูกพัน อุ้มท้องมานานกว่า 9 เดือน ในที่สุดสมาชิกใหม่ตัวน้อยก็ได้เวลาที่จะออกมาลืมตาดูโลก ซึ่งสิ่งทีหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่เตรียมพร้อมให้กับลูกน้อยก็คือ การทำประกันภัยสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพให้เด็กและเพิ่มความคุ้มครองทางด้านการเงินให้แก่พ่อ แม่ เนื่องจาก เด็กเล็กนั้นมีความอ่อนแอสูงเพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันใดๆ มากนัก นอกจากนั้นยังไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นรับรู้ถึงอาการที่เจ้าตัวน้อยเป็นได้ด้วย ดังนั้นเมื่อป่วยไข้ พ่อแม่มือใหม่ ก็จะสบายใจกว่าถ้าลูกของตนได้เข้าพักและรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งเฉลี่ยแล้ว เด็กเล็กจะต้องนอนพักรักษาตัวไม่น้อยกว่า 2 คืน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 16,000 บาท

แต่เนื่องด้วยสถิติหลายปีที่ผ่านมาตัวเลขค่าใช้จ่ายโดยรวมของการรักษาพยาบาลสำหรับเด็กเล็ก สูงมากเหลือเกินจนทำให้บริษัทประกันภัยหลายๆที่ขาดทุนและต้องถอนตัวออกจากประกันสุขภาพเด็กไป ส่งผลให้ตลาดประกันสุขภาพเด็กในปัจจุบัน มีบริษัทประกันภัยไม่มากนักที่ยังเสนอขายแบบประกันอยู่ แต่เมื่อดูที่เบี้ยประกันแล้วก็สูงมาก ยิ่งถ้าเป็นเด็กอายุ 0 – 5 ปี เบี้ยที่พบส่วนใหญ่ จะไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท  หรือพูดได้ว่าสูงกว่าเบี้ยประกันของวัยรุ่น มากกว่าหลายเท่าตัว

ดังนั้นเราจะมีวิธีการอย่างไรในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันสำหรับลูกน้อยให้เหมาะสมและอยู่ในงบประมาณที่เราตั้งใจ

โดยปัจจัยหลักๆ ที่เราต้องรู้ เพื่อใช้ในการพิจารณาก็คือ

1.รูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งแบ่งเป็น

1.1 กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองแบบวงเงินก้อน ( Lump Sum ) การประกันสุขภาพแบบนี้ บริษัทประกันภัยจะให้วงเงินก้อน ตลอดปีมาเลยว่ารักษาได้อยู่ในวงเงินเท่าใด เช่น 1 ล้านหรือ 3 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาจะมาดึงจากวงเงินนี้ไปใช้ ยกเว้นค่าห้องต่อวัน ที่จะกำหนดในอัตราตายตัว  เช่น ค่าห้องไม่เกิน 5,000 / 6,000 / 8,000 บาท/วัน ดังนั้นในการรักษาแต่ละครั้งถ้าค่าห้องที่คุณพักเกิน 5,000 บาท คุณก็จ่ายเฉพาะส่วนต่างของค่าห้อง ซึ่งเท่ากับว่า ถ้าค่าห้องที่โรงพยาบาลไม่สูงกว่าค่าห้องที่คุณเลือกในแบบประกัน และ ค่ารักษาอื่นๆ ก็ยังอยู่ในวงเงินคุ้มครอง คุณก็จะไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย แบบประกันประเภทนี้จึงเหมาะกับคุณพ่อ คุณแม่ ที่ต้องการซื้อความคุ้มครองให้น้องแบบครบถ้วน สมบูรณ์แบบ โดยบางแบบกรมธรรม์จะมีความคุ้มครองรวมถึงการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ( OPD ) ด้วย เท่ากับว่าในการหาหมอแต่ละครั้ง คุณพ่อ คุณแม่จะจ่ายน้อยมาก หรือบางครั้งแทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แต่แน่นอนค่าเบี้ยประกันก็จะสูงมาก จึงต้องคิดให้ดี เพราะถ้าในปีนั้นลูกน้อยของคุณไม่เจ็บป่วย ก็เท่ากับว่าคุณจ่ายเงินก้อนนี้ไปฟรีๆ เลย

1.2 กรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองตามตารางผลประโยชน์ ( Standard Billing Group ) คือ จะมีตารางผลประโยชน์ ซึ่งแบ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาออกเป็นหมวดต่างๆ โดยต้องไปดูในเอกสารแนบของกรมธรรม์ว่า แต่ละหมวด รวมถึงค่าใช้จ่ายใดบ้าง หมวดต่างๆ ที่แบ่ง  เช่น

  • ค่าห้อง ค่าอาหาร
  • ค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการทั่วไป
  • ค่ารักษาโดยการผ่าตัด
  • ค่าดูแลโดยแพทย์
  • อื่นๆ….

ซึ่งแบบกรมธรรม์ประเภทนี้เบี้ยประกันจะไม่สูงมากนัก ขึ้นอยู่กับค่าห้องที่เราเลือก ถ้าค่าห้องต่อวัน สูง เบี้ยประกันภัยก็จะสูงตาม แต่จะประหยัดกว่าแบบประกันแรกมาก และสำหรับการเจ็บป่วยธรรมดาไม่ร้ายแรง แบบประกันนี้ก็สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทางการเงินของคุณพ่อ คุณแม่ได้เป็นอย่างดี เช่น ถ้าเลือกค่าห้องที่ 5,000 บาท/วัน ก็จะได้วงเงิน ค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการที่ 50,000 บาท ซึ่งถ้าน้องเจ็บป่วยธรรมดา พักรักษาตัว 2-3 คืน ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายก็แทบจะอยู่ในวงเงินนี้ทั้งหมด แต่ในแบบประกันนี้จะไม่รวม การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ( OPD ) แต่อาจจะมีการเสนอขายแยกออกมาต่างหาก โดยกำหนดวงเงินในการรักษาแต่ละครั้ง และ จำนวนครั้ง/ปี เช่น คุ้มครองในวงเงิน 2,000 บาท/ครั้ง รักษาได้ 30 ครั้ง/ปี

นอกจากนั้น สำหรับคนที่มีงบประมาณน้อย คุณอาจจะเลือกแบบประกันนี้ โดยค่าห้องไม่ต้องสูงมากนัก เพื่อให้ลูกคุณมีความมั่นคงทางสุขภาพขั้นพื้นฐาน โดยคุณสามารถเลือกโรงพยาบาลให้เหมาะกับวงเงินค่าห้องที่มี หรือ จ่ายเพิ่มบางส่วน เพราะการเจ็บป่วยของลูกน้อยก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก

2.ระดับความร้ายแรงของการเจ็บป่วย และ การบาดเจ็บ ที่ลูกมีโอกาสได้พบ ซึ่งในประเด็นนี้จะขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของน้อง การเลี้ยงดู กรรมพันธุ์ หรือแม้แต่โชค ชะตา โดยพอจะแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ

2.1 โรคที่ติดตัวน้องมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจจะสังเกตเห็นด้วยสายตา เช่น โรคดาวน์ซินโดรม หรือ โรคที่มองด้วยสายตาไม่เห็น เช่น หัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด ถ้าเป็นอาการของโรคในกลุ่มนี้ การทำประกันภัยสุขภาพ ก็ไม่สามารถช่วยได้ เนื่องจากเป็นข้อยกเว้น ของความคุ้มครอง เพราะถือว่าเป็นภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือปัญหาทางพัฒนาการหรือโรคทางพันธุกรรม

2.2 โรคภัยไข้เจ็บทั่วๆ ไป ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่จะป่วยในกลุ่มนี้ ที่พบบ่อยๆ เช่น โรคไข้หวัด ไข้เลือดออก โรคมือเท้าปาก โรคไวรัส RSV โรคระบบทางเดินอาหาร … โดยต้องพักรักษาตัวระหว่าง 2 – 5 คืน ค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000 – 80,000 บาท ขึ้นกับโรค อาการ และ โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา ซึ่งการทำประกันสุขภาพ จะมีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพรูปแบบใดก็ตาม ส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มส่วนใหญ่ก็คือความต่างของราคาค่าห้องนั้นเอง

2.3 โรคที่ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เพียงรับยาแล้วกลับบ้าน หรือที่เรียกว่า “ผู้ป่วยนอก” OPD ซึ่ง โดยปกติแล้วเมื่อลูกชองคุณป่วยเป็นไข้สักครั้ง 2 ครั้ง คุณแม่และคุณพ่อ ก็จะเริ่มมีสติและมีประสบการณ์ในการดูแลรักษาลูกน้อย ในบางครั้งถ้าไข้ไม่สูงมากนัก ก็สามารถรับยาและกลับมาดูแลเองที่บ้านได้ ค่ารักษาแต่ละครั้งก็จะอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 4,000 บาท โดยใน 1 ปี บางรายอาจไม่ป่วยเลย หรืออาจต้องหาหมอหลายครั้งต่อปี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ สุขภาพของลูกและโอกาสในการรับเชื้อโรคนั่นเอง สำหรับประกันสุขภาพแบบผู้ป่วยนอก จะมีวงเงินเป็น 2 รูปแบบ คือ คือวงเงินก้อนเช่น รักษาได้ปีละไม่เกิน 35,000 บาท กับ จำกัดวงเงินแต่ละครั้ง เช่น 2,000 บาท/ครั้ง ไม่เกิน 30 ครั้งต่อปี แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่า เบี้ยประกันสุขภาพสำหรับผู้ป่วยนอก( OPD ) ทีราคาสูงเลยทีเดียว ก็ต้องชั่งน้ำหนักกันให้ดีว่า จะซื้อหรือจะเสี่ยงดี

2.4 โรคร้ายแรงหรือต้องมีการรักษาด้วยการผ่าตัด ในกลุ่มนี้โอกาสที่จะเกิดมีน้อย แต่ถ้าเกิดค่าใช้จ่ายจะสูงเพราะต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน นอกจากนั้นยังต้องใช้วิธีการรักษาแบบอื่นนอกเหนือจากการทานยา ค่าใช้จ่ายที่พบ จึงเป็นหลักแสนขึ้นไป การประกันแบบคุ้มครองวงเงินก้อน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้ดีกว่าสำหรับน้องๆ ที่เจ็บป่วย ในโรคกลุ่มนี้

2.5 อุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ในเด็ก แต่คุณสามารถสบายใจได้ โดยการเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ที่มีความคุ้มครองวงเงินอุบัติเหตุฉุกเฉิน เพราะกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองค่ารักษาตามวงเงิน สำหรับการรักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากการบาดเจ็บภายในเวลา 24 ชั่วโมง หลังจากเกิดอุบัติเหตุ

3.โอกาสที่เด็กจะป่วย ตามวัย

ในประเด็นนี้ ถ้าเป็นเด็กเล็กซึ่งคุณแม่ เป็นคนเลี้ยงดูเอง หรือมีคนเลี้ยงที่ไว้ใจได้ดูแลอย่างใกล้ชิด โอกาสที่เด็กจะติดเชื้อหรือป่วยก็จะน้อย การทำประกันภัยสุขภาพ ก็อาจเลือกทุนประกันหรือความคุ้มครองแค่ระดับหนึ่ง โดยไปเพิ่มวงเงินและความคุ้มครองอีกทีเมื่อน้องจะเข้าโรงเรียน เพราะจากสถิติเมื่อเด็กเข้าโรงเรียนจะมีโอกาสรับเชื้อสูง เนื่องจากต้องไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่นๆ โดยบ่อยครั้งเมื่อป่วยแล้วก็จำเป็นที่ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดังนั้นเด็กในวัยนี้ การประกันสุขภาพจึงมีความสำคัญมาก ควรเลือกวงเงินและความคุ้มครองให้สูงที่สุด เท่าที่เราสามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันได้ โดยที่เราไม่เดือดร้อนจนเกินไป

คุณพ่อ คุณแม่ ลองใช้ข้อมูลด้านบน ประกอบการตัดสินใจดูนะครับ ซึ่งการมีประกันสุขภาพนั้นนอกจากจะทำให้ลูกน้อยของคุณ เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้สะดวกและง่ายขึ้นแล้ว คนที่เป็นพ่อแม่ก็จะได้ความสบายใจด้วย เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เพียงแต่เบี้ยประกันก็จะสูงในการเริ่มต้น แต่อย่างไรก็ดี เมื่อน้องอายุ 5 ปีขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็จะสบายใจมากขึ้นเพราะค่าเบี้ยประกันภัยเด็กก็จะปรับลดลงมาในระดับที่สามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น